On this page
❗ อย่าใช้ “an” หรือ “a” นำหน้าคำว่า “own” โดยตรง
🔮 รายละเอียดเพิ่มเติม (ย่อ - ขยาย ) ---- > Click
🔎 ทำไมถึงเป็นแบบนั้น?
คำว่า "own" เป็นคำคุณศัพท์ (adjective) ที่แสดงความเป็นเจ้าของ “อย่างชัดเจน” เช่น
👉 "ของฉันเอง", "ของเขาเอง", "ของคุณเอง"
เนื่องจาก "own" มีความหมายเฉพาะตัวอยู่แล้ว จึง ต้องจับคู่กับคำที่แสดงเจ้าของ เสมอ เช่น:
- my (ของฉัน)
- your (ของคุณ)
- his / her / its (ของเขา / ของเธอ / ของมัน)
- our / their (ของพวกเรา / ของพวกเขา)
ดังนั้น เราจะพูดว่า:
- my own idea → ถูก
- her own apartment → ถูก
แต่ไม่สามารถพูดว่า:
- ❌ an own idea
- ❌ a own apartment
เพราะไม่มีคำแสดงเจ้าของอยู่ข้างหน้า “own”
✅ สองโครงสร้างที่ใช้ได้กับ “own” อย่างถูกต้อง:
1. [คำแสดงเจ้าของ] + own + nounเช่น: their own project, his own reason
(ใช้เมื่อต้องการเน้นว่า “ของคนนั้นโดยเฉพาะ”)
2. a/an + noun + of + [คำแสดงเจ้าของ] + ownเช่น: a solution of your own, an apartment of his own
(ใช้เมื่อต้องการวาง “own” ไว้ท้าย เพื่อให้ภาษาสละสลวยหรือเน้นย้ำมากขึ้น)
🎯 สรุปจำง่าย:
- ❌ ห้ามใช้: an own, a own
- ✅ ใช้: my own, his own, a plan of her own
- "own" ต้องจับคู่กับเจ้าของเท่านั้น ไม่ใช่ article (a, an, the)
“or rather”
"or rather" แปลว่า “หรือจะพูดให้ถูกกว่านั้น…” / “หรือพูดใหม่ให้แม่นยำขึ้นว่า…”
ใช้เมื่อเราต้องการ แก้ไขคำที่พูดไปแล้วก่อนหน้า
หรือ พูดให้แม่นยำหรือสุภาพขึ้น
🔮 รายละเอียดเพิ่มเติม (ย่อ - ขยาย ) ---- > Click
🎯 โครงสร้าง
✅ [สิ่งที่พูดไปก่อน] — or rather, [สิ่งที่จะแก้ไข/พูดใหม่]
🧠 เหตุผลที่ใช้:
- แก้ไขความผิดพลาดเล็กน้อย (พูดผิดแล้วรีบแก้)
- ทำให้ข้อความดูแม่นยำขึ้น
- เพิ่มความสุภาพในการพูดหรือเขียน
📝 ตัวอย่าง
1. I left my wallet in the car — or rather, in the taxi.
(ฉันลืมกระเป๋าไว้ในรถ — เอ๊ะไม่ใช่สิ ในแท็กซี่ต่างหาก)
2. He’s a writer — or rather, a journalist.
(เขาเป็นนักเขียน — พูดให้ชัดคือเป็นนักข่าว)
3. We’re meeting this afternoon — or rather, early evening.
(เราจะเจอกันช่วงบ่าย — เอ๊ะพูดให้ชัดคือช่วงเย็นต้น ๆ)
✨ เคล็ดลับ:
- อย่าใช้ "or better" เพื่อแก้ไขตัวเองในลักษณะนี้นะครับ
ใช้ "or rather" เสมอเมื่อหมายถึง “พูดใหม่ให้ถูกกว่าเดิม”
🎯 สรุปสั้น ๆ:
ใช้ or rather เมื่อคุณต้องการ พูดใหม่อีกครั้งเพื่อความถูกต้อง หรือแม่นยำกว่าเดิม
I am cooking dinner every night. ประโยคนี้ถูกหรือผิด
🎯 โครงสร้างพื้นฐาน
ประธาน | กริยา (V1) | หมายเหตุ |
---|---|---|
I / You / We / They | play / eat / go | ไม่เติม s |
He / She / It | plays / eats / goes | เติม -s / -es |
🔮 รายละเอียดเพิ่มเติม (ย่อ - ขยาย ) ---- > Click
- ❌ I am cooking dinner every night.
(ผิด เพราะ “every night” แสดงว่าทำบ่อย → ควรใช้ simple present) - ✅ I cook dinner every night.
(ถูกต้อง: แสดงนิสัย ทำเป็นประจำ)
🔑 เคล็ดลับจำง่าย:
ใช้ Simple Present เมื่อสิ่งนั้น...
🔁 เกิดซ้ำ
🧠 เป็นนิสัย
✅ เป็นความจริงทั่วไป
📅 อยู่ในตารางเวลาคงที่
อธิบายได้ดังนี้
🔹 Simple Present Tense
Simple Present คือ รูปกาลปัจจุบันธรรมดา ใช้เมื่อเราต้องการพูดถึง:
- พฤติกรรมหรือนิสัย (Habits)
- เหตุการณ์ที่เกิดซ้ำ ๆ (Repeated Actions)
- ความจริงทั่วไป (General Truths)
- ตารางเวลา / กำหนดการที่แน่นอน (Schedules)
1. He drinks coffee every morning.
(เขาดื่มกาแฟทุกเช้า) ☕
→ แสดงนิสัยที่ทำประจำ
2. The sun rises in the east.
(พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก) 🌅
→ ข้อเท็จจริงทางธรรมชาติ
3. They go to the gym twice a week.
(พวกเขาไปยิมสัปดาห์ละสองครั้ง) 🏋️♂️
→ กิจกรรมที่เกิดขึ้นซ้ำเป็นประจำ
4. The train leaves at 6 p.m.
(รถไฟออกตอน 6 โมงเย็น) 🚆
→ ตารางเวลาที่แน่นอน
อย่าละ (หรือลืมใส่) preposition (คำบุพบท) เมื่อแปลงประโยคให้เป็น passive voice
🧠 สรุปจำง่าย:
✅ ถ้า verb ต้องใช้ preposition → ห้ามตัด preposition เมื่อเปลี่ยนเป็น passive
Verb + Preposition | Passive (ถูก) | Passive (ผิด) |
---|---|---|
look after | The baby is looked after. | ✘ The baby is looked. |
depend on | He is depended on. | ✘ He is depended. |
listen to | The music was listened to. | ✘ The music was listened. |
🎯 จำง่าย ๆ:
ถ้าในประโยค active มี preposition → ใน passive ต้องยังมีอยู่
🔮 รายละเอียดเพิ่มเติม (ย่อ - ขยาย ) ---- > Click
อย่าละ (หรือลืมใส่) preposition (คำบุพบท) เมื่อแปลงประโยคให้เป็น passive voice
📌 ทำไมถึงสำคัญ?
บางกริยาในภาษาอังกฤษต้อง ใช้คู่กับ preposition เสมอ
เช่น:
- talk about
- listen to
- depend on
- laugh at
- take care of
เมื่อเรานำกริยาเหล่านี้ไปใช้ในรูปแบบ Passive Voice
→ ต้อง คง preposition นั้นไว้
→ ห้ามตัดออก ❌
🔁 ตัวอย่างใหม่
:🔹 1. Active Voice:
🔸 They talked about the issue.
(พวกเขาพูดถึงประเด็นนั้น)
🔹 2. Passive Voice (ถูกต้อง ✅):
🔸 The issue was talked about.
(ประเด็นนั้นถูกพูดถึง)
❌ ผิด:
🔸 The issue was talked.
→ ✘ ผิด เพราะ talk ต้องใช้ about
🔹 อีกตัวอย่าง:Active Voice:
🔸 Everyone laughed at his idea.
(ทุกคนหัวเราะเยาะความคิดของเขา)
Passive Voice (ถูกต้อง):
🔸 His idea was laughed at.
(ความคิดของเขาถูกหัวเราะเยาะ)
❌ ผิด:
🔸 His idea was laughed.
→ ✘ ผิด เพราะขาด preposition “at”
✅ ใช้ “had better” = ควรจะ..., น่าจะ..., ทางที่ดีควร...
ใช้เมื่อต้องการให้คำแนะนำอย่างจริงจัง หรือเตือนอย่างมีนัยว่า ถ้าไม่ทำ อาจมีผลเสียตามมา
🎯 สรุปจำง่าย:
❌ ผิด | ✅ ถูก |
---|---|
I have better go now. | I had better go now. |
You have better sleep. | You had better sleep. |
✅ ใช้ “had better + V1” → เพื่อเตือน/แนะนำ
❌ ห้ามใช้ “have better” เพราะไม่ถูกตามหลักไวยากรณ์
🔮 รายละเอียดเพิ่มเติม (ย่อ - ขยาย ) ---- > Click
✅ ใช้ “had better”
ไม่ใช่ “have better”
🧠 ความหมาย:
had better + กริยาไม่ผัน (bare infinitive)
= ควรจะ..., น่าจะ..., ทางที่ดีควร...
ใช้เมื่อต้องการให้คำแนะนำอย่างจริงจัง หรือเตือนอย่างมีนัยว่า ถ้าไม่ทำ อาจมีผลเสียตามมา
⚠️ โครงสร้างที่ถูกต้อง:
[ประธาน] + had better + V1 (ไม่เติม s / ไม่ผัน)
- I had better leave now.
(ฉันควรจะไปตอนนี้แล้วล่ะ) - You had better not forget your keys.
(คุณอย่าลืมกุญแจล่ะ)
📌 ย่อได้ว่า
- I’d better (I had better)
- You’d better
- We’d better
❌ อย่าใช้ “have better”
คำว่า "have better" เป็นโครงสร้างที่ผิดตามหลักไวยากรณ์ในกรณีนี้
เพราะ "have" ไม่ได้ใช้เพื่อสร้างความหมายของการเตือนหรือแนะนำแบบ “ควรจะทำ”
✨ ตัวอย่าง
🔹 A: It's getting dark.
🔸 B: You’d better take a flashlight.
(คุณควรเอาไฟฉายไปนะ)
🔹 He’s coughing a lot.
🔸 He’d better see a specialist soon.
(เขาควรไปพบหมอเฉพาะทางเร็ว ๆ นี้)
🔹 The exam is tomorrow.
🔸 We’d better start revising tonight.
(เราควรเริ่มทบทวนคืนนี้เลย)