On this page
ภัยเงียบที่ขโมยการมองเห็น: รู้ทัน "ต้อหินเฉียบพลัน" ก่อนโลกจะมืดมิด
โดย ดร.พยาบาลวิชาชีพ (PhD Nurse Practitioner) ประสบการณ์ 35 ปี
ดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ และเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำให้เราได้ชื่นชมรอยยิ้มของลูกหลาน แต่เชื่อไหมคะว่า มีภัยเงียบชนิดหนึ่งที่สามารถพรากการมองเห็นไปได้อย่างถาวรภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง นั่นคือ "ต้อหินเฉียบพลัน" (Acute Angle-Closure Glaucoma)
ในฐานะพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยมาค่อนชีวิต ดิฉันพบว่า "ความไม่รู้" น่ากลัวกว่า "ตัวโรค" เสมอ วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจกลไกของโรค วิธีสังเกต และการปรับ Lifestyle เพื่อให้คุณมี Quality of Life ที่ดี อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ลูกหลานได้นานที่สุด โดยไม่ต้องเสียเงินก้อนโตไปกับการรักษาที่ปลายเหตุค่ะ
🩺 เจาะลึกกลไก: ต้อหินเฉียบพลันเกิดขึ้นได้อย่างไร? (Pathophysiology)
เพื่อให้เข้าใจถึงความรุนแรงของโรคนี้ ดิฉันขออธิบายลงลึกในรายละเอียดตามหลัก Anatomy & Physiology ของดวงตาเพิ่มเติมนะคะ
โดยปกติแล้ว ภายในลูกตาของเราจะมีโรงงานผลิตน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาที่เรียกว่า Ciliary Body ซึ่งทำหน้าที่ผลิตน้ำใสๆ ชื่อว่า Aqueous Humor ออกมาตลอดเวลาเพื่อนำออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงกระจกตาและเลนส์ตา น้ำนี้จะมีการไหลเวียนจากด้านหลังม่านตา ผ่านรูม่านตา (Pupil) ออกมาสู่ช่องด้านหน้า และระบายออกทางท่อระบายเล็กๆ ที่เรียกว่า Trabecular Meshwork ซึ่งตั้งอยู่บริเวณ "มุมตา" (Drainage Angle) ระหว่างกระจกตาดำกับม่านตา
ต้อหินเฉียบพลัน เกิดขึ้นจากความผิดปกติทางโครงสร้าง (Anatomical Defect) เมื่อมุมระบายน้ำนี้เกิดการ "ปิดกั้น" (Obstruction) อย่างสมบูรณ์และกะทันหัน ซึ่งมักเกิดจากภาวะที่เรียกว่า Pupillary Block หรือการที่ม่านตาไปแนบติดกับผิวหน้าของเลนส์ตา ทำให้น้ำหล่อเลี้ยงไหลผ่านรูม่านตาออกมาไม่ได้ แรงดันน้ำจึงสะสมอยู่ด้านหลังม่านตาและดันให้ม่านตาโป่งพองมาด้านหน้า (Iris Bombé) จนไปปิดทับมุมระบายน้ำจนมิด
สถานการณ์นี้เปรียบเสมือนอ่างล้างจานที่ท่อระบายน้ำถูกจุกยางอุดไว้ทันที ในขณะที่ก๊อกน้ำยังคงเปิดน้ำไหลแรงอยู่ตลอดเวลา ผลที่ตามมาคือหายนะทางจักษุวิทยา (Ophthalmic Catastrophe):
- Rapid Increase in Intraocular Pressure (IOP): ความดันลูกตาจะพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง จากค่าปกติที่ประมาณ 10-21 mmHg อาจพุ่งทะยานไปถึง 50-80 mmHg ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งทำให้ลูกตาแข็งเกร็งเหมือนก้อนหิน
- Ischemia of Optic Nerve: ความดันที่สูงลิ่วนี้ไม่ได้เพียงแค่กดทับ แต่จะไปบีบอัดหลอดเลือดฝอยที่ไปเลี้ยง "ขั้วประสาทตา" (Optic Nerve Head) ทำให้เกิดภาวะขาดเลือดเฉียบพลัน (Ischemia) เปรียบเสมือนการบีบสายยางไม่ให้เลือดไปเลี้ยงสมอง
- Irreversible Neuronal Damage: เมื่อเซลล์ประสาทตาขาดเลือดและถูกกดทับ จะเกิดกระบวนการตายของเซลล์ (Apoptosis) ส่งผลให้ลานสายตาแคบลงอย่างรวดเร็ว และหากแก้ไขไม่ทันท่วงที การมองเห็นจะสูญเสียไปอย่างถาวร (Permanent Blindness) โดยไม่สามารถผ่าตัดเปลี่ยนหรือแก้ไขให้กลับคืนมาได้
🚨 อาการเตือนระดับวิกฤต (Clinical Manifestations)
หากคุณหรือคนใกล้ชิดมีอาการเหล่านี้ นี่คือ Medical Emergency (ภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์) หรือสัญญาณอันตราย (Red Flags) ที่ร่างกายกำลังตะโกนบอกว่าดวงตากำลังเข้าขั้นวิกฤต ต้องรีบไปโรงพยาบาลที่มีจักษุแพทย์ทันที "ห้ามรอ ห้ามซื้อยากินเอง และห้ามประคบเย็นเพื่อรอดูอาการเด็ดขาด"
อาการแสดงของโรคนี้มีความจำเพาะเจาะจง แต่หลายครั้งมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นโรคอื่น โดยมีรายละเอียดสังเกตดังนี้:
🔮 รายละเอียดเพิ่มเติม (ย่อ - ขยาย ) ---- > Click
- Severe Ocular and Periocular Pain: อาการปวดไม่ได้เป็นเพียงแค่ความรู้สึกระคายเคือง แต่เป็นการ "ปวดร้าวลึกอย่างรุนแรง" บริเวณดวงตาและกระบอกตา ความเจ็บปวดมักร้าวขึ้นไปถึงขมับ หน้าผาก หรือท้ายทอยในข้างเดียวกัน (Ipsilateral Headache) เนื่องจากแรงดันที่สูงมากไปกระตุ้นแขนงของเส้นประสาทคู่ที่ 5 (Trigeminal Nerve) ทำให้หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นไมเกรนรุนแรง (Severe Migraine)
- Sudden Blurred Vision (Foggy Vision): การมองเห็นจะมัวลงอย่างกะทันหัน เปรียบเสมือนมองผ่านกระจกที่มีฝ้าเกาะหนาๆ หรือมองผ่านหมอกควัน ทั้งนี้เกิดจากกระจกตาที่เคยใสเกิดภาวะบวมน้ำ (Corneal Edema) ทำให้แสงไม่สามารถหักเหเข้าสู่ดวงตาได้อย่างปกติ
- Halos around lights: เมื่อมองดวงไฟในตอนกลางคืนหรือในที่สลัว จะเห็น "วงแหวนสีรุ้ง" (Rainbow-colored rings) รอบดวงไฟนั้น อาการนี้เป็นผลมาจากปรากฏการณ์การหักเหแสงผ่านหยดน้ำเล็กๆ ในชั้นกระจกตาที่บวมเป่ง ซึ่งเป็นอาการบ่งชี้ที่สำคัญมากของความดันลูกตาสูง
- Nausea and Vomiting (Oculogastric Reflex): นี่คืออาการลวงที่อันตรายที่สุด ผู้ป่วยจำนวนมากมีอาการคลื่นไส้และอาเจียนอย่างรุนแรงจนทานอะไรไม่ได้ ซึ่งเป็นผลจากปฏิกิริยาสะท้อนกลับของระบบประสาทอัตโนมัติ (Vagal Stimulation) จากความปวดตาที่รุนแรง ทำให้ผู้ป่วยมักไปแผนกฉุกเฉินด้วยเรื่องโรคกระเพาะ หรืออาหารเป็นพิษ โดยลืมสังเกตอาการทางตา ทำให้การวินิจฉัยล่าช้า
- Red Eye & Cloudy Cornea (Ciliary Injection): ตาจะแดงก่ำโดยเฉพาะบริเวณรอบๆ ตาดำ (Limbus) แตกต่างจากตาแดงทั่วไป และเมื่อสังเกตที่ "ตาดำ" จะพบว่าไม่ใสแวววาวเหมือนปกติ แต่จะดูขุ่นมัวเหมือนกระจกฝ้า (Steamy Cornea)
- Fixed Mid-Dilated Pupil: หากส่องไฟดู จะพบว่ารูม่านตาขยายขนาดปานกลาง (ประมาณ 4-6 มม.) และ "ไม่หดตัวตอบสนองต่อแสงไฟ" (Non-reactive to light) หรือขยับน้อยมาก เนื่องจากกล้ามเนื้อม่านตาเป็นอัมพาตจากแรงดันที่กดทับ
- Hard Eye on Palpation: นี่คือวิธีทดสอบเบื้องต้นที่ง่ายที่สุด หากท่านลองหลับตาและใช้นิ้วชี้กดเบาๆ บนเปลือกตาเหนือลูกตา หากรู้สึกว่าลูกตา "แข็งโป๊กเหมือนกดลงบนหน้าผากหรือหิน" แสดงว่าความดันลูกตาสูงมาก (ต่างจากตาปกติที่จะนิ่มหยุ่นเหมือนกดที่ปลายจมูกหรือริมฝีปาก)
⏳ ช่วงเวลาอันตราย (Critical Period)
ในทางเวชศาสตร์ฉุกเฉิน เรามีคำกล่าวว่า "Time is Muscle" สำหรับโรคหัวใจ แต่สำหรับดวงตาแล้ว "Time is Vision" (เวลาคือการมองเห็น) อย่างแท้จริงค่ะ ความเร่งด่วนของการรักษาต้อหินเฉียบพลันนั้นเทียบเท่ากับโรคเส้นเลือดในสมองแตก เพราะเซลล์ประสาทตา (Retinal Ganglion Cells) เป็นเซลล์ที่เปราะบางและทนต่อการขาดออกซิเจนได้ไม่นาน
- The "Golden Period" (นาทีทองของการกู้ชีพดวงตา): ท่านมีเวลาจำกัดเพียง 6 ถึง 24 ชั่วโมง เท่านั้นหลังจากเริ่มมีอาการ หากความดันลูกตายังค้างอยู่ในระดับสูง (Sustained High IOP) เลือดจะไม่สามารถเข้าไปเลี้ยงขั้วประสาทตาได้เลย ทำให้เกิดภาวะ Optic Nerve Infarction หรือเส้นประสาทตาตายจากการขาดเลือด ซึ่งความเสียหายนี้เป็น Irreversible Damage คือเสียแล้วเสียเลย ไม่สามารถกู้คืนกลับมาได้ ต่อให้ลดความดันลงในภายหลัง การมองเห็นที่เสียไปก็จะไม่กลับมา (Permanent Visual Loss)
- The "Wait-and-See" Trap (กับดักของการรอคอย): สิ่งที่อันตรายที่สุดและเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งที่ทำให้คนไข้ตาบอด คือ "การตัดสินใจนอนพัก" โดยหวังว่าอาการปวดจะดีขึ้นในตอนเช้า การรับประทานยาแก้ปวด (Analgesics) เพียงแค่ระงับอาการปวดชั่วคราวแต่ไม่ได้ลดความดันตา ซ้ำร้ายไปกว่านั้น การนอนในห้องมืด จะยิ่งกระตุ้นให้รูม่านตาขยายตัว (Mydriasis) ตามธรรมชาติเพื่อรับแสง ซึ่งจะยิ่งไปอุดกั้นมุมตาให้แน่นขึ้น (Worsening the block) ทำให้ความดันตาสูงขึ้นไปอีกขณะหลับ การรอจนถึงเช้าจึงอาจหมายถึงการตื่นมาพบกับโลกที่มืดมิด
- Immediate Action Plan (สิ่งที่ต้องทำทันที): เมื่อมีอาการ ห้ามขับรถเองเด็ดขาด เนื่องจากอาการตามัวและปวดศีรษะรุนแรงจะลดสมรรถภาพในการมองเห็นและกะระยะ ทำให้เสี่ยงต่ออุบัติเหตุสูง ควรไหว้วานญาติหรือเรียกรถพยาบาล (Ambulance) เพื่อนำส่งโรงพยาบาลที่มีจักษุแพทย์ที่ใกล้ที่สุดทันที และควรงดน้ำงดอาหาร (NPO) เผื่อในกรณีที่จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดหรือยิงเลเซอร์ฉุกเฉิน
🛡️ ใครบ้างที่ต้องระวัง? (Risk Factors)
การรู้ว่าตนเองอยู่ในกลุ่มเสี่ยง (High-Risk Group) หรือไม่ เป็นก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการป้องกัน นี่คือปัจจัยเสี่ยงที่ท่านควรสำรวจตัวเองและคนในครอบครัว:
🔮 รายละเอียดเพิ่มเติม (ย่อ - ขยาย ) ---- > Click
- Advanced Age (The Aging Eye): แม้โรคนี้จะพบได้ตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป แต่ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณในทุกๆ ทศวรรษของชีวิต เหตุผลทางสรีรวิทยาคือ เลนส์ตาของเรามีการเติบโตและหนาตัวขึ้นตลอดเวลาเหมือนวงปีของต้นไม้ เมื่อเลนส์หนาขึ้น (Lens Vault) มันจะดันตัวมาข้างหน้า ทำให้ "ช่องหน้าลูกตา" (Anterior Chamber) ตื้นลงเรื่อยๆ จนมุมตาแคบลงตามธรรมชาติ ดังนั้นผู้สูงอายุจึงมีความเสี่ยงสูงมากโดยไม่รู้ตัว
- Female Gender (Anatomical Differences): สถิติทางการแพทย์พบว่าผู้หญิงมีความเสี่ยงต่อโรคนี้มากกว่าผู้ชายถึง 3-4 เท่า ไม่ใช่เรื่องของฮอร์โมน แต่เป็นเรื่องของ "สรีระ" โดยธรรมชาติผู้หญิงมักมีขนาดลูกตาที่เล็กกว่า (Shorter Axial Length) และมีช่องหน้าลูกตาที่ตื้นกว่าผู้ชาย ทำให้พื้นที่ระบายน้ำแคบกว่าโดยกำเนิด
- Refractive Error (Hyperopia): ผู้ที่มีภาวะ "สายตายาวโดยกำเนิด" (มองไกลก็ไม่ชัด มองใกล้ก็ต้องเพ่ง หรือใส่แว่นเลนส์นูนหนาๆ) คือกลุ่มเสี่ยงสูงสุด เนื่องจากคนกลุ่มนี้มีลูกตาขนาดเล็กสั้น (Short Eye) เปรียบเสมือนห้องที่มีขนาดเล็กแต่อัดแน่นไปด้วยเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ (เลนส์ตา จอตา ม่านตา) ทำให้เกิดภาวะแออัดภายในลูกตา (Crowded Eye) จนมุมตาปิดได้ง่ายกว่าคนสายตาสั้นหรือสายตาปกติ
- Asian Ethnicity (Genetic Predisposition): นี่คือเรื่องสำคัญสำหรับคนไทยค่ะ เชื้อชาติเอเชีย (โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) มีอุบัติการณ์ของต้อหินมุมปิดสูงกว่าชาวตะวันตกอย่างชัดเจน เนื่องจากโครงสร้างกะโหลกศีรษะและเบ้าตาที่ตื้นกว่า ทำให้คนไทยมีความเสี่ยงต่อโรคนี้โดยพันธุกรรม
- Family History: หากท่านมีประวัติพ่อแม่ พี่น้อง หรือญาติสายตรงเคยเป็นต้อหินเฉียบพลัน หรือเคยได้รับการยิงเลเซอร์เจาะตา (Laser Iridotomy) ท่านมีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับถ่ายทอดลักษณะโครงสร้างมุมตาแคบมาด้วย ควรแจ้งจักษุแพทย์เพื่อตรวจคัดกรองละเอียดเป็นพิเศษ
💡 การป้องกันและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (Prevention & Lifestyle Modification)
หัวใจสำคัญของการประหยัดค่ารักษา และการมีคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน คือ Primary Prevention หรือการสร้างเกราะป้องกันก่อนเกิดโรคค่ะ ในฐานะพยาบาล ดิฉันเชื่อเสมอว่า "การป้องกัน 1 บาท คุ้มค่ากว่าการรักษา 100 บาท" วันนี้เรามาปรับ Habit และสภาพแวดล้อมให้ปลอดภัยต่อดวงตากันค่ะ:
🔮 รายละเอียดเพิ่มเติม (ย่อ - ขยาย ) ---- > Click
- Comprehensive Eye Exam (More than just IOP): หลายท่านเข้าใจผิดว่าการวัดความดันลูกตาเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอ แต่ความจริงแล้วท่านจำเป็นต้องได้รับการตรวจ "มุมตา" (Gonioscopy) ด้วยค่ะ การตรวจนี้จะช่วยให้จักษุแพทย์มองเห็นโครงสร้างภายในว่ามุมตาของท่าน "แคบ" หรือ "เปิดกว้าง" หากพบว่ามุมตาแคบมาก แพทย์อาจแนะนำให้ทำเลเซอร์เจาะรูม่านตา (Laser Iridotomy) เพื่อป้องกันไว้ก่อน ซึ่งเป็นวิธีที่ปลอดภัยและเจ็บน้อยมาก ดีกว่ารอให้เกิดอาการเฉียบพลันแล้วค่อยมารักษา
- Stress Management & Autonomic Regulation: ความเครียดไม่ใช่แค่เรื่องของใจ แต่ส่งผลโดยตรงต่อระบบประสาทอัตโนมัติ (Sympathetic Nervous System) เมื่อเราเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมน Adrenaline ซึ่งมีผลข้างเคียงทำให้ "รูม่านตาขยายตัว" เล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว ซึ่งสำหรับคนที่มีมุมตาแคบอยู่แล้ว การขยายตัวเพียงเล็กน้อยนี้อาจเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้มุมตาปิดสนิท ในทาง Mental Health Nursing เราแนะนำให้ฝึกการหายใจแบบลึก (Deep Breathing Exercises) หรือการเจริญสติ เพื่อลดการทำงานของระบบประสาทส่วนนี้และช่วยให้ดวงตาผ่อนคลาย
- Lighting Environment (Avoid the "Twilight Zone"): สภาวะที่อันตรายที่สุดสำหรับคนมุมตาแคบ ไม่ใช่ที่มืดสนิทหรือสว่างจ้า แต่คือ "แสงสลัว" (Dim light) ค่ะ เพราะในที่สลัว รูม่านตาจะขยายตัวในระดับปานกลาง (Mid-dilated state) ซึ่งเนื้อเยื่อม่านตาจะไปกองรวมกันอยู่ที่มุมตามากที่สุด
- Do: ติดตั้งไฟทางเดินอัตโนมัติ (Motion sensor lights) เวลาลุกไปเข้าห้องน้ำตอนดึก เพื่อไม่ให้ดวงตาต้องเพ่งในความมืด
- Don't: หลีกเลี่ยงการนอนคว่ำหน้าอ่านหนังสือ หรือเล่นโทรศัพท์มือถือในห้องนอนที่ปิดไฟมืดสนิท เพราะแสงสีฟ้าจากหน้าจอในห้องมืดจะกระตุ้นให้รูม่านตาทำงานหนักและมุมตาปิดได้ง่ายขึ้น
- Medication & Supplement Awareness: นี่คือจุดตายที่หลายคนมองข้าม ยาหลายชนิดที่เราซื้อทานเองตามร้านขายยา มีฤทธิ์ข้างเคียงแบบ Anticholinergic ซึ่งทำให้รูม่านตาขยายและกระตุ้นต้อหินเฉียบพลันได้ทันที ยาที่ต้องระวังเป็นพิเศษ ได้แก่:
- ยาแก้แพ้/ลดน้ำมูก (Antihistamines) รุ่นเก่าที่ทำให้ง่วง
- ยาแก้เวียนศีรษะ/เมารถ (Motion sickness pills)
- ยาคลายเครียด/ยานอนหลับ บางกลุ่ม (Tricyclic Antidepressants)
- ยาแก้ปวดท้อง/ลดการบีบเกร็ง (Antispasmodics)
- คำแนะนำ: หากท่านอายุ 40 ปีขึ้นไป หรือรู้ตัวว่ามีมุมตาแคบ ต้องแจ้งเภสัชกรทุกครั้งก่อนซื้อยาว่า "ขอหลีกเลี่ยงยากลุ่มที่ทำให้ความดันตาสูง หรือยาที่มีผลต่อต้อหิน"
- Fluid Intake Habits: การดื่มน้ำครั้งละมากๆ (Water Loading) เช่น การดื่มน้ำรวดเดียว 1 ลิตร อาจทำให้ความดันลูกตาสูงขึ้นชั่วคราวได้ ควรเปลี่ยนนิสัยเป็นการ "จิบน้ำบ่อยๆ ตลอดทั้งวัน" แทน เพื่อรักษาระดับสมดุลของน้ำในร่างกายและลูกตา
🤝 บทสรุปจาก ดร.พยาบาล (Expert Conclusion)
การดูแลสุขภาพตาไม่ใช่เรื่องไกลตัว และไม่ใช่เรื่องที่ต้องรอให้ป่วยก่อนถึงจะรักษา การมีความรู้เท่าทันโรคหรือ Health Literacy เปรียบเสมือนอาวุธที่ทรงพลังที่สุดที่จะช่วยปกป้องท่านจากภัยคุกคามที่มองไม่เห็น ความรู้ที่ถูกต้องจะช่วยให้ท่านสังเกตสัญญาณเตือนภัยได้ตั้งแต่เนิ่นๆ และนำไปสู่การรักษาที่ทันท่วงที ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายมหาศาลในการผ่าตัดซับซ้อนหรือการดูแลระยะยาว แต่ยังช่วยรักษา "สินทรัพย์ที่มีค่าที่สุด" ของชีวิต นั่นคือดวงตาคู่เดิมที่จะทำให้ท่านได้มองเห็นความสำเร็จของลูกหลาน เห็นรอยยิ้มในวันรับปริญญา และเห็นความสุขของคนในครอบครัวได้อย่างชัดเจนตลอดไป
ถึงแม้ท่านจะรู้สึกว่าที่ผ่านมาอาจละเลยสุขภาพไปบ้าง หรือใช้งานดวงตามาอย่างหนักหน่วง แต่ดิฉันขอยืนยันว่า "It's never too late to start." หรือไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับการเริ่มต้นดูแลตัวเอง การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพียงเล็กน้อยในวันนี้ เช่น การจัดแสงไฟในบ้านใหม่ การระมัดระวังการใช้ยา หรือการไปตรวจตาประจำปี อาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สิ่งเหล่านี้คือรากฐานสำคัญที่จะสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ในการปกป้องการมองเห็นของท่านในอนาคต
หากท่านมีความกังวล ไม่แน่ใจในอาการ หรือต้องการคำแนะนำในการวางแผนสุขภาพแบบองค์รวม (Holistic Care) ที่ครอบคลุมทั้งสุขภาพกาย สุขภาพตา และสุขภาพใจ เพื่อป้องกันโรคเรื้อรังต่างๆ ที่อาจส่งผลเกี่ยวเนื่องกัน ดิฉันและทีมงานวิชาการยินดีเป็นที่ปรึกษาและให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ท่านก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างมีคุณภาพ (Healthy Aging) มีความสุข เปี่ยมด้วยศักดิ์ศรี และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่นจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตค่ะ
ดูแลดวงตา ดูแลชีวิต ด้วยความห่วงใยจากมืออาชีพ